วันนี้ “อาทิตย์เอกเขนก” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “กุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป หรือ “คุณกิ๊ก” ผู้ให้บริการรถเมล์ไฟฟ้ารายแรกของไทย เริ่มเปิดใจว่า คำว่าต้นทุนชีวิตกับพี่นั้นเรียกว่าแทบไม่มีเลย เพราะตัวพี่กิ๊กเองเป็นลูกกำพร้า ชีวิตเหมือนคนทั่วไปเลย แรกเริ่มเดิมทีพี่ก็ทำงานบริษัท เป็นเซลในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นี่แหละ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วพี่ยังจำได้ไม่เคยลืมว่า รับเงินเดือนครั้งแรกมา 7,500 บาท แต่พอคิดว่าทำไปทำมา อนาคตการเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาฯ ในวัยแรกรุ่นคงไม่ง่ายเลย วันนั้นจึงตัดสินใจลาออกครั้งแรก เพื่อกระโดดไปทำบริษัทนำเข้าส่งออกสินค้า
จากนั้นก็ทำๆๆๆ ทำทุกอย่างในบริษัทเลย เป็นเซลนะ แต่พี่ไปเรียนรู้ทุกกระบวนการในบริษัทเลย ครูพักลักจำบ้าง ถามเขาบ้าง ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญตอนทำงานมาได้ถึง 7 ปีเต็ม ตัดสินใจลาออกอีกครั้งในวัย 29 ปี ซึ่งตอนนั้นบอกได้ว่า พี่ไม่ลำบากเลย เพราะด้วยความพูดเก่ง ขายเก่ง เป็นเซลระดับท็อปๆ เลยแหละ คุณกิ๊กเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ได้ตัดสินใจทิ้งเงินเดือนกว่า 400,000 บาทในสิบกว่าปีที่แล้วออกมาตั้งธุรกิจตัวเอง พร้อมกับมีลูกน้อง 5 คน ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นก็นำพาชีวิตของตนมาสู่วันนี้ ที่ต้องบริหารธุรกิจในเครือกว่า 30 บริษัท และลูกน้องอีกราว 7,000 คน
คุณกิ๊กเล่าว่า ก้าวแรกของการตัดสินใจ จุดเปลี่ยนที่พลิกชีวิต วันที่เริ่มต้นธุรกิจมันไม่มีคำว่าง่ายเลยสักนิด ด้วยแรงกดดัน หากพี่ไม่ทำเหมือนที่คนจีนชอบสอนลูกหลานกันว่า “หากอยากแข็งแกร่ง มั่นคง ต้องตอกขาโต๊ะให้แน่น” พี่ก็เป็นเหมือนขาโต๊ะ 1.งานที่พี่ทำมั่นคงพอไหม 2.รายได้พี่ดูแลชีวิตได้ไหม ซึ่งตัวพี่เอง ณ วันนั้น ไม่ต้องมีภาระอะไรเลย แม้พี่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่พี่เป็นคนเพื่อนเยอะ ภาษีสังคมย่อมสูงเป็นเงาตามตัวไปด้วย จนสุดท้ายคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้คงไม่เหลือแน่ๆ
พอตัวพี่ตัดสินใจลาออกมาแล้ว พี่เลยทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทำธุรกิจ Freight Forwarder ตัวแทนนำเข้าส่งออกสินค้า พี่ก็ลงไปนั่งดูแลเองกับลูกน้อง ไปจนถึงปรินต์เอกสารพี่ยังทำเองเลย แม้วันที่น้ำท่วมพี่ก็ยังไม่หยุดนะ ถ้ารอรถมารับก็ไม่ทันกิน พี่ก็ลุยน้ำด้วยตัวคนเดียวนี่แหละ ออกไปเดินเรื่องเองให้ธุรกิจมันไปต่อ ดังนั้นชีวิตของพี่เองเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ พี่ว่าสิ่งสำคัญคือ “การมองหาโอกาส การดิ้นรน และไม่ยอมแพ้”
เหมือนวันที่พี่กิ๊กเป็นพนักงาน อีกด้านพี่ก็มาตั้งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และไม่ใช่สร้างบ้านทั่วไป แต่สร้างแหล่งผลิตพลังงาน กังหัน โรงงานใหญ่ จนปัจจุบันพัฒนาไปสู่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมบลูเทคซิตี้ ในโครงการ EEC ประกอบกับการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่เรียนจากตำรา แต่คือการเปิดรับทุกวัน เรียนจากลูกน้องตัวเองนี่แหละ เพราะเด็กใหม่ๆ ที่เข้ามาบริษัท เขามาด้วยความรู้ มาด้วยพลังงานใหม่ๆ
พี่กิ๊กเปิดใจ ก้าวสู่ธุรกิจ “รถเมล์” หวังพลิกประวัติศาสตร์รถเมล์ไทย เมื่อวันนี้ที่ตัวพี่เองได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่หลายคน จนมาถึงวันที่พี่สำเร็จประมาณหนึ่งแล้ว ประกอบกับตัวพี่เองชอบนั่งรถเมล์ ยิ่งเวลาไปเมืองนอกจะมองตลอด ทำไมรถเมล์บ้านเขาดีจัง อยากทำให้รถเมล์บ้านเราดีแบบนี้บ้างจัง พอมีการเปิดให้เข้าไปแข่งขัน ก็ตัดสินใจเข้าไปนำเสนอ เมื่อโมเดลธุรกิจเราได้ เป้าหมายแรกของพี่คือ “การพัฒนาคน” เราเลยได้เห็นว่าไทยสมายล์บัสไม่เรียกพนักงานว่า คนขับรถเมล์ หรือกระเป๋ารถเมล์ แต่เรียกเขาว่า “กัปตันเมล์” และ “บัสโฮสเตส” เพราะพี่อยากให้คุณค่าเขาจริงๆ
พี่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เรื่องการทำงานพี่ไม่เหนื่อยเลย แค่เป็นคนหน้าดุ เลยดูเครียดตลอดจนหลายคนทัก คุณกิ๊กแซวตัวเองพร้อมรอยยิ้ม สิ่งที่พี่ดีใจ ภูมิใจมากที่สุด คงเป็นเรื่องการสร้างคนของธุรกิจรถเมล์นี่แหละ มีบัสโฮสเตสที่เขาเคยทำงานมา 20 ปีแล้วย้ายมา ชีวิตเข้าเปลี่ยน พี่จัดให้บริษัทดูแลตั้งแต่การเอามืออาชีพมาสอนเขาแต่งหน้า เลือกชุดที่ดีให้เขาแต่งตัวสวยๆ มีเงินเดือนที่ดีขึ้นให้เขาพอเลี้ยงครอบครัว วันนั้นเขาเดินเข้ามาขอบคุณพี่จากหัวใจ ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นนะ นี่แหละคือสิ่งที่ตั้งใจ แม้วันนี้ยังเปลี่ยนรถเมล์ไทยไม่สำเร็จหรอก ยังมีอุปสรรคบ้าง ตกหล่นบ้างพี่ยอมรับนะ แต่ไทยสมายล์เราไม่หยุดพัฒนาแน่ๆ
ฟังแล้วอึ้ง มาถึงวันนี้ ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ กุลพรภัสร์ จากเด็กกำพร้าคนหนึ่งมาสู่ผู้บริหารมือทอง ตัวคุณกิ๊กกล้ายืนยันว่า “ต้นทุนชีวิตของทุกคน มันอยู่ที่หัวใจ ใจคุณสู้พอหรือเปล่า มันไม่เกี่ยวเลยกับสถานะ การศึกษา หรือใบเบิกทางใดๆ ก็แล้วแต่ วันนี้ขอแค่เริ่มต้นที่อย่าด้อยค่าตัวเอง ให้คุณค่ากับตัวเองทุกวัน หากวันไหนเหนื่อยหรือท้อ ขอให้หันไปมองคนที่เขาไม่มีโอกาส แล้วถ้าพี่มีโอกาสที่คนหยิบยื่นให้แล้วไม่ทำ นั่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เพราะถ้าพี่ลงมือทำแล้วสำเร็จ วันหน้าพี่จะกลับมาช่วยคนที่พี่มองว่าไร้โอกาสในวันที่พี่ท้อเหล่านั้นได้”
คุณกิ๊กทิ้งท้ายว่า ปกติ 5 วันทำงานเต็มที่ อีก 2 วันก็เคลียร์งานอีก ทำให้กิจวัตรประจำวันคือ งาน งาน และงาน ตี 1 ตี 2 ก็พร้อมตอบไลน์ลูกน้องได้ทุกคน ขยันจนเวลานอนน้อยไปนิด คือวันละ 4 ชม.เท่านั้น ส่วนเวลาว่างช่วงที่เหลือของซีอีโอสาวแกร่งคนนี้ แว่วว่าหลงรักการเข้าวัดทำบุญเป็นชีวิตจิตใจ จนสร้างประวัติศาสตร์ในหน้าข่าวว่า ทำบุญครั้งใหญ่ในประเทศไทยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง.